เรื่องเล่าจากตัวตน - เรื่องเล่าจากตัวตน นิยาย เรื่องเล่าจากตัวตน : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าจากตัวตน

    ชีวิตของคนเราจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน ถ้าพรุ่งนี้รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย เราจะทำอย่างไร ลองค้นหาได้จากบทความด้านล่าง

    ผู้เข้าชมรวม

    200

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    200

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 มี.ค. 58 / 07:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

    เรื่องสั้น

     

                    “เอาล่ะ ผมว่าวันนี้ ผมพร้อมที่สุดที่จะบอกและขอคำตอบจากคุณ” ชายหนุ่มหน้าเข้มตัวสูงเกือบร้อยแปดสิบมองฉันตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ผมรักคุณ รักคุณจริงๆอย่างไม่เคยรักใคร คุณเปลี่ยนโลกทั้งใบของผม คุณทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ทุกลมหายใจเพื่อคุณ ถึงคุณจะไม่สวย ใครจะว่าคุณอ้วนไม่เหมาะกับผม แต่ผมรักในทุกอย่างที่คุณเป็น วันนี้ผมเลยมาสารภาพอีกครั้ง คบกับผมนะอารดา ผมสัญญาว่าจะรักคุณให้มากขึ้นทุกๆวัน ผมจะดูแลและปกป้องคุณ ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจ ผมจะค่อยๆปรับตัว เพื่อเป็นแฟนที่ดีของคุณ”

                    ฉันรู้สึกเจ็บแปลบ มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น หากยังฝืนยิ้มทั้งๆที่รู้ว่าคำที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายนั้นเป็นคำหลอกลวงทั้งสิ้น ฉันเงยหน้าขึ้นช้าๆมองเขาพร้อมกับกดริมฝีปากสีชมพูระเรื่อแนบข้างแก้มอีกฝ่ายนิ่งแล้วกระซิบข้างหู “คุณเกือบทำสำเร็จแล้วนะรู้ตัวไหม” ก่อนจะค่อยๆถอยออกมาในระยะที่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงตัวฉันได้ “ถ้าคุณพูดออกมาจากใจจริงสักนิด ฉันคงจะดีใจมาก” คราวนี้ฉันหุบรอยยิ้มที่พยายามฝืนเอาไว้ “ถ้าคุณยังไม่พร้อม หรือว่ามีใครที่ดีกว่า คุณเลือกเธอไปเถอะ ฉันคงไม่มีค่าพออะไรให้คนอย่างคุณมาสนใจ มารัก มาทำดีด้วย” ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่น้ำใสๆมันไหลหยดลงมาตามข้างแก้มจนแทบมองอีกฝ่ายไม่เห็น “เพราะฉะนั้นพอเถอะ เลิกทำร้ายทั้งฉันแล้วก็ผู้หญิงคนนั้น เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” ฉันหันหลัง ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะถูกคว้าเอาไว้จากทางด้านหลัง ฉันรู้เพียงแค่ว่าทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ และฉันคิดถูกที่ให้จิราตามมาด้วย ทันทีที่ให้สัญญาณเพื่อนสาวก็วิ่งปราดเข้ามากระชากแขนของกลทีป์ออกด้วยความขุ่นเคือง

    “ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้” เธอผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่างพร้อมกับหันมาประคองคนที่กำลังร้องไห้ราวจะขาดใจเอาไว้ราวกับจงอางหวงไข่ “ไอ้สารเลว คนอย่างแกไม่มีสิทธิมาแตะต้องแม้แต่ปลายก้อยของเพื่อนฉัน” แล้วใช้เท้ายันอีกฝ่ายจนแทบหงายหลัง จากนั้นจึงสบโอกาสโอบตัวเพื่อนเธอขึ้นรถแล้วออกไปโดยไม่สนใจแม้แต่เสียงเรียกของคนที่วิ่งตามมาทางด้านกลัง

     

    สามเดือนก่อนหน้านี้

     

    ฉันอารดาเด็กมหาวิทยาลัยปีสามของสถาบันที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจังหวัดกรุงเทพสะดุดกึก เมื่อมีชายหนุ่มร่างยักษ์เกือบร้อยแปดสิบห้าเข้ามายืนขวางทางในระหว่างที่จะเดินไปโรงอาหารพร้อมกับเพื่อนสนิททั้งสองคน

    “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มหน้าเข้ม จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ผิดขาวดูเป็นคนดังพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ม หากเต็มไปด้วยความอ่อนโยน นั่นทำให้คิ้วของฉันผูกเป็นโบว์แล้วหันไปมองหน้า จิรากับวรรณการต์เพื่อขอความเห็น “นะครับ แป๊บเดียวเอง แล้วก็ใกล้ๆด้วย ในระยะที่เพื่อนคุณเห็นนี่แหละ ไม่ต้องกลัวเหรอ”

    “คุณคะ ฉันว่าคุณน่าจะต้องกลัวเพื่อนฉันหรือเปล่าคะ” จิรากัดเล่นๆทำให้วรรณกานต์หลุดขำ ส่วนคนโดนว่าอย่างฉันก็หรี่ตามองอย่างเอาเรื่อง

    “ไอ้จิรา” จากนั้นจึงทำเสียงแข็งแล้วหันไปมองผู้ชายตรงหน้า “ขอโทษนะคะ พอดีฉันไม่มีธุระอะไรกับคุณ แล้วฉันก็ไม่ว่างด้วย ขอตัวล่ะ” ในขณะที่เดินกำลังจะเดินเลี่ยงให้ผ่านตัวคนขวางไว้ก็ถูกจับแขนเอาไว้ จึงได้หันกลับไปขมวดคิ้วจริงจังใส่ “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณ”

    “ถ้าคุณไม่เดินไปคุยกับผมตรงนั้น ผมพูดตรงนี้เลยก็ได้” จากนั้นก็ปล่อยแขน ที่ตอนนี้มันถูกยกขึ้นมากอดอกแน่นเหมือนเอาเรื่อง

    “ถ้าอย่างนั้นก็คุยธุระให้เสร็จตรงนี้ภายในหนึ่งนาที เพราะว่าฉันหิวมากแล้ว”

    “ผมชอบคุณ คบกับผมนะ” ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบอารดาก็อ้าปากหวอ ดวงตาเล็กเบิกกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “อะไรนะ” ฉันไม่ได้เป็นคนพูดคำนี้หรอก แต่เป็นเพื่อนสุดสนิทจิราเป็นคนพูดขึ้นแทน “จะให้ฉันพูดจริงๆเหรอคุณ คุณดูหน้าตาคุณแล้วหันมามองหน้าเพื่อนฉันดิ ฉันว่าคุณสูงเกินร้อยแปดสิบ ส่วนเพื่อนฉันสูงร้อยห้าสิบ คุณตาโต เพื่อนฉันตาตี่ คุณจมูกโด่ง มันจมูกแฟบ” ไม่พูดเปล่าเพราะหนึ่งมือเอื้อมมาบิดด้วยความหมั่นเขี้ยว “คุณป๊อบ เพื่อนฉันโคตรเห่ย แล้วคุณจะมาชอบอะไรเพื่อนฉัน คุณไปหาคนอื่นโน่น ไปชอบคนที่เขาพอจะสูสีกับคุณ” แล้วกันมามองหน้าเพื่อนอีกคนที่มาด้วย “เอาไว้วรรณไปก็ได้ มันก็สวย แถมหนุ่มๆยังติดลีลามันเยอะ อย่ามาสนใจอะไรไอ้เพื่อนขี้เหร่ๆของฉันเลย”

    “โห่ นี่ด่าได้เจ็บใจมาก” ฉันยกมือขึ้นปัดแขนเพื่อนรักออก “ฉันว่าคุณอย่ามาล้อเล่นกับฉันดีกว่า เพราะถึงแม้ฉันจะไม่เห็นด้วยกับคำด่าที่เพื่อนฉันพูดออกมา แต่ฉันก็เป็นคนยอมรับความจริง เพราะฉะนั้น เอาไว้วรรณไปแทนแล้วกัน”

    “จริงเหรอพวกแก” วรรณกานต์เดินนวยนาดมาขวางหน้า “ฉันเอาจริงนะ หุ่นแบบนี้ หน้าแบบนี้เป๊กฉันเลย” หญิงสาวขยิบตาให้ พร้อมกับเดินเข้าไปเกาะแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ “ว่าไงคะหนุ่ม เขายกคุณให้ฉันแล้ว เราไปไหนกันดี” หญิงสาวช้อนตามองหวานเยิ้ม

    “ผมขอเวลาคุณสามเดือนให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าผมจริงจังกับคุณ” ฉันเห็นเขาจ้องหน้าฉันเหมือนเอาจริง ทำเอาแอบสั่น ส่วนวรรณกานต์ที่อยู่ข้างๆก็ยกมือขึ้นลูบแขนชายหนุ่มไปมาราวกับต้องการข่มขวัญ

    “ถ้าอย่างนั้นฉันเอาด้วย ฉันขอเวลาสามเดือนเหมือนกัน ดูสิว่าฉันจะได้เขมือบคุณหรือเปล่า” หญิงสาวขยิบตาใส่อย่างมีความหมาย ก่อนที่ฉันจะถอนหายใจเพราะว่าเรื่องนี้มันวุ่นวายไปหมก

    “ถ้าฉันบอกไม่” ฉันหรี่ตาประเมิน เพราะแค่ดูจากลักษณะแล้วคนตรงหน้าเป็นชนิดที่เรียกว่าสู้ไม่ถอยเลยทีเดียว

    “ผมก็จะตามคุณทุกวัน ไม่ว่าคุณจะไปไหน กินข้าว เรียนหรือว่านอน” เมื่อเห็นแววจริงจังฉันจึงได้ถอนหายใจอีกครั้งคราวนี้เฮือกใหญ่เลย

    “ได้สามเดือน” ทันทีที่อารดาตอบ น้ำในตาของกลทีป์ก็กลิ้งระริกดีใจ “คุณจะทำอะไรก็ได้ภายในสามเดือน แต่มีข้อแม้คือห้ามคุณมาให้ฉันเห็นหน้าสามสิบวันเต็ม” ก่อนที่รอยยิ้มเป็นต่อจะถูกฉาบขึ้น “ถ้าคุณผิดข้อตกลง ถือว่าข้อตกลงเป็นอันโมฆะ แล้วคุณก็อันตรธานไปจาหวงโคจรของฉันได้เลย”

    “ได้ ผมจะไม่ให้คุณเห็นหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าผมคุยกับคุณไม่ได้”

    “แต่คุณไม่มีเบอร์ฉัน เพราะฉะนั้นเสียเวลาเปล่า” ฉันยิ้มกริมดันอีกฝ่ายให้หลบทาง ในขณะที่กำลังออกเดินมือถือของตัวเองก็เริ่มสั่นจนต้องหยิบมันออกดู คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าด้วยความสงสัยเพราะเบอร์นั้นไม่คุ้น แต่พอรับเท่านั้นแหละฉันก็หันขวับแล้วมองหน้าของที่คนจ่อหูโทรศัพท์ตัวเองด้วยความงงงัน “คุณไปได้เบอร์ฉันมายังไง”

    “ก็บอกแล้วว่าผมชอบคุณ อะไรที่เป็นคุณผมรู้หมดแหละ” ชายหนุ่มตอบขณะที่ยังถือโทรศัพท์เอาไว้ด้วยรอยยิ้ม “คุณประเมินผมต่ำไปหน่อยนะ”

    “นั่นน่ะสิ” ฉันกดวางสายโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้าไปใกล้ “ปกติคนหน้าตาดีมักจะหัวขี้เลื่อย ฉันก็เลยคิดว่าคุณน่าจะไปทางนั้น”

    “นี่คุณกำลังชมผม” ชายหนุ่มอมยิ้มไม่สนใจวรรณกานต์ที่กำลังเกาะแขนอยู่ในตอนนี้

    “เปล่าฉันแดกดัน แล้วก็ด่าคุณค่ะ” ฉันยิ้มปริศนาให้ “ไหนๆคุณก็ได้เบอร์ฉันไปแล้ว ก็พยายามเข้านะคะ” ก่อนจะหันหลัง เดินไปตามเป้าหมายเดิม

     

    ฉันที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงแผดร้องอย่างบ้าคลั่ง ฉันถอนลมหายใจแรงๆแล้วถอดแว่นออก มือเอื้อมไปหยิบเครื่องมือสื่อสาร ทันทีที่เห็นหน้าจอก็ได้แต่ส่ายศีรษะแล้ววางมันลงที่เดิม จากนั้นจึงหันกลับไปสนใจหนังสือที่ฉันกำลังอ่านค้างอยู่  เสียงนั้นดังอยู่อีกเจ็ดแปดครั้งก็ดับลง ทำให้ฉันพอจะหายใจเข้าเฮือกใหญ่ได้บ้าง แต่ฉันโล่งใจได้เพียงชั่ววินาที มันก็แผดร้องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฉันรอให้มันดับไปเองสี่ห้าครั้ง จนกระทั่งหมดความอดทนเพราะฉันไม่สามารถที่จะจดจ่ออยู่กับการเรียนของฉันได้ จึงได้ตัดสินใจรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด

    “จะโทรมารบกวนทำไมคะคุณกลทีป์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย มือข้างที่ว่างยกชันแขนบนโต๊ะเพื่อเท้าคาง “ตอนนี้น่ะเหรอ” ฉันพูดเสียงสูงทวนคำถามอีกฝ่ายใบความงุนงง “คุณโทรมาได้จังหวะตอนที่ฉันกำลังอ่านหนังสือสอบอยู่เลย”

    “งั้นเหรอ แล้วมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามในขณะที่อีกฝ่ายส่ายศีรษะปฏิเสธ

    “ไม่ดีกว่าค่ะ” ฉันพูดเสียงแข็ง “เท่าที่ฉันทราบมา คุณก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดที่จะสอนคนอื่นได้ เอาอย่างนี้ฉันว่าคุณภวนาให้ตัวเองสอบผ่านดีกว่านะ” ฉันแหวเข้าให้ “อ๋อ แต่ก็มีเรื่องให้ช่วยอยู่เหมือนกันนะคะ คือไม่มีธุระอะไรก็ช่วยวางสาย ฉันจะได้กลับไปอ่านหนังสือต่อ”

    “สืบหาข้อมูลกันแบบนี้แสดงว่าแอบสนใจผมอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง “ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนดีกว่า ขอให้คุณสอบได้คะแนนดีๆละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะโทรมาถามผลอีกครั้งนะครับ ราตรีสวัสดิ์อารดา”

    ทั้งๆที่เขาโทรมากวนในเวลาที่ต้องห้ามที่สุด ฉันโกรธ โมโห แต่ไม่รู้ทำไมมันก็รู้สึกอุ่นในใจอย่างประหลาด หากฉันปัดมันทิ้งทันทีเมื่อเริ่มคิดถึงความเป็นจริง ฉันเงยหน้าขึ้นมองกระจก ฉันตัวเตี้ย ใบหน้ากลม คางสองชั้นจนบางครั้งฉันก็เคยคิดอยากจะลดความอ้วน เพราะมันทำให้ตาชั้นเดียวของฉันตี่จนโดนล้ออยู่บ่อยๆ แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จฉันนั่งนิ่งอยู่สักพักจึงยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองแรงๆ

    “โอ๊ยคิดอะไรอยู่วะ อ่านหนังสือ เตรียมตัวสอบพรุ่งนี้ได้แล้ว” เท่านั้นแหละ ฉันจึงได้ละความสนใจจากตัวเองไปยังหนังสือเรียนที่วางตั้งอยู่ด้านหน้า จวบจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนฉันจึงปีนขึ้นเตียงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน

     

    กลทีป์ไม่มาให้ฉันเห็นหน้าตามสัญญา หากก็เพียรโทรมาหาทุกวัน จากวันแรกๆที่ไม่สบอารมณ์จะคุย ฉันถือโทรศัพท์เกินสองนาทีก็เก่งแล้ว แต่ตอนนี้ฉันสามารถคุยกับเขาไม่ต่ำกว่าวันละสองสามชั่วโมง ทุกวันเขาจะโทรเข้ามาหาตอนหนึ่งทุ่มตรง ช่วงหลังๆเขามักโทรมาไม่ตรงเวลา ทำให้ฉันกระวนกระวาย จนบางวันฉันต้องนั่งจ้องโทรศัพท์ถึงสามทุ่มเลยด้วยซ้ำ

    ช่วงหลังๆวรรณกานต์จะวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยรอยยิ้มบอกว่าเมื่อวานไปเที่ยวกับกลทีป์มาทั้งวัน ทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก อยากจะโกรธอยากจะเหวี่ยงแต่ก็ไม่ใช่นิสัย แถมเพื่อนสาวของฉันคนนี้ก็ประกาศตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเธอจะขอผู้ชายคนนี้ และฉันก็จะยอมหลีกทางให้ ถ้าทั้งสองคนตกลงปลงใจกันจริงๆ

    บางทีฉันก็ถามกลทีป์ไปตรงๆเรื่องของวรรณกานต์ เขาก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าที่ไปกับเพื่อนของฉันนั้นเพราะว่าอยากทราบข่าวของฉันบ้าง ทำให้ฉันถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งอกเมื่อนึกไปถึงข้อนี้ แต่บอกตรงๆว่าฉันไม่ไว้ใจเลย วรรณกานต์สวยกว่า หุ่นดีกว่า วรรณกานต์เกือบได้เป็นดาวคณะด้วย ส่วนฉันก็อ้วนเตี้ย กินก็เก่ง แต่งตัวก็ไม่เป็น กระโปรงที่ใส่อยู่ทุกวันนี้ฉันก็มีแค่กระโปรงพลีทยาวเลยเข่าทั้งสิ้น วันนี้ฉันเลยชวนจิราไปเดินซื้อเสื้อผ้าด้วย จนโดนแซวว่ามีความรักหรือไงถึงได้คิดจะแต่งตัวเป็นสาวสวย รองเท้าก็เลือกซื้อมีส้นนิดเผื่อมันจะทำให้ฉันดูสูงขึ้น

    ทุกครั้งที่จิราเห็นวรรณกานต์ยิ้มแป้นมาเล่าเรื่องกลทีป์ก็จะมากระซิบเบาๆกับฉันทุกครั้งว่าก็ดีเหมือนกันที่วรรณกานต์คอยทำตัวเป็นมือที่สาม เพราะจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้แค่ไหน ถ้าแค่เล่นๆรับรองว่าอีกไม่นานชายหนุ่มคงเผยธาตุแท้ออกมาเร็วๆนี้แน่ ซึ่งฉันก็แอบภวนาว่าเขาจะไม่เป็นเช่นนั้น

    วันนี้ครบหนึ่งเดือนตามสัญญาที่จะไม่เจอหน้ากัน ก่อนออกจากบ้านฉันจึงบรรจงแต่งตัวอยู่หน้ากระจกนานจนเกือบไปมหาวิทยาไม่ทัน ฉันอยากเจอหน้าเขา อยากได้ยินเสียงหวานๆเพราะหู ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ฉันเชื่อว่าเขามีผลกับฉันมากเหลือเกิน เขาโทรมาหาฉันทุกวัน โทรมาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งก็โทรมาอ้อนว่าอยากให้ฉันช่วยสอนหนังสือให้ หรือแท้กระทั่งยื่นคำหวานว่าอยากให้ครบหนึ่งเดือนเร็วๆ เพราะคิดถึงฉันใจจะขาด ฉันอยากบอกเขาเหมือนกันว่าฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เรื่องสัญญาสามเดือนก็เหมือนกันฉันพร้อมที่จะตกลงคบกับเขาเลยด้วยซ้ำ

    ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยฉันก็กวาดสายตาหาคนที่คิดถึงแต่ก็ไม่เจอ ใบหน้าที่เคยอวดยิ้มก็ค่อยๆหุบลงเมื่อชั่วโมงเรียนวันนี้ของฉันหมดลง ฉันเดินคอตกบอกลาจิรากับวรรณกานต์ตอนเกือบจะห้าโมงเย็น

    ฉันค่อยๆลากเท้าเดินไปช้าๆใบหน้าก้มมองพื้น ในใจก็พลางคิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มีเรียน เขาถึงไม่มาหาฉันในวันนี้ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน ฉันปลอบใจตัวเอง

    อารดาเดินเลี้ยวซ้ายเข้าทางลัดประจำก็ต้องตกใจเมื่อมีคนมายืนขวางแล้วยื่นกุหลาบแดงให้

    “ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน” ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ ฉันก็ไม่แพ้กันแต่ก็วางท่า ทำหน้าขึงขัง

    “โรแมนติกมาก กุหลาบดอกเดียว” ฉันแสร้งแหวทั้งๆที่ใจเต้นตึกตัก อยากฉีกยิ้ม อยากยื่นมือไปรับแต่กลัวอีกฝ่ายหาว่าฉันใจง่าย

    “จะไม่รับไปหน่อยเหรอ ผมไปหาซื้อมาให้คุณแต่เช้า แต่ไม่มีจังหวะให้คุณเลย เพราะว่าโดนสองสาวประกบตลอด” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมาจับมือฉันให้รับมันไป “ขอโทษนะครับ มันอาจจะเหี่ยวนิดหน่อย แต่รับรองว่าคนซื้อตั้งใจหามาให้คุณสุดๆ”

    ฉันชักมือตัวเองกลับมา แต่ไม่รู้ว่าจะวางมันเอาไว้ตรงไหน เพราะว่าตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามือฉันมันเกะกะเป็นที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณ งั้นงั้นฉันไปแล้วนะ” ฉันวิ่งปราดเดียวไปถึงป้ายรถเมล์ รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนคล้ายจะระเบิด จึงได้ยกมือขึ้นอังหน้าตัวเองแล้วอมยิ้มจนนักศึกษาที่รอรถอยู่แถวนั้นมองฉันด้วยความสงสัย

    ส่วนมากกลทีป์จะมาพูดคุยกับฉันช่วงเช้ามากๆ ซึ่งจะเป็นช่วงก่อนที่จิราและวรรณกานต์จะมา หรือไม่ก็เย็นหลังจากที่ฉันแยกจากเพื่อนทั้งสองคนแล้วเท่านั้น แล้ววันนี้ก็เช่นกัน เขาทำเป็นประจำจนเข้าเดือนที่สอง ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับเพื่อนเหมือนเก่า ทุกวันฉันรีบมามหาลัยเช้า และรีบบอกลากับเพื่อน เพื่อที่จะได้มีเวลาส่วนตัวกับกลทีป์ จนบางครั้งจิราก็งอนเป็นพักๆ ส่วนวรรณกานต์ไม่ต้องพูดถึง บางวันเพื่อนสาวของฉันคนนี้ก็ไม่เข้าเรียน หรือไม่ก็มาสาย และไม่ค่อยพูดถึงกลทีป์มากนักเหมือนตอนช่วงเดือนแรก ตัวฉันคิดว่ากลทีป์คงตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนของฉันไปแล้ว เพราะไม่มีเรื่องให้ต้องถามหาฉันในเมื่อได้เจอกันทุกวัน

    เหลืออีกแค่ครึ่งเดือนก็จะถึงเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ ความจริงไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นก็ได้ ฉันพร้อมที่จะตกลงยอมเป็นแฟนของเขา เพราะทุกวันนี้ฉันมีความสุข อยากเห็นหน้าเขาทุกวัน อยากใช้เวลาร่วมกัน อยากบอกทั้งจิราและวรรณกานต์ว่าผู้ชายคนนี้แหละแฟนฉัน แต่ฉันก็ยังปิดปากเงียบ ไม่ยอมเผยไต๋ว่าฉันนั้นกำลังตกหลุมรักเขาเข้าเต็มเปา

    วันนี้ฝนตกร่มที่ฉันถือคันใหญ่เกะกะ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะฉันไม่อยากเปียก และเหมือนทุกวัน ทันทีที่ฉันแยกกับเพื่อนกลทีป์ก็เข้ามา เอ่ยปากชวนฉันไปเที่ยวกลางคืน ใจหนึ่งฉันกลัว แต่อีกใจหนึ่งฉันกลับอยากรู้อยากทดลอง ยิ่งพอเขาอ้อนเข้าฉันเลยโทรไปโกหกกับที่บ้านว่าจะไปอ่านหนังสือกับพวกจิราและวรรณกานต์

    ในขณะที่กำลังข้ามถนน รองเท้าส้นสูงของฉันที่เพิ่งไม่ซื้อมาเมื่อไม่กี่วันดันไปติดกับท่อระบายน้ำจนข้ามถนนไม่ทันกลทีป์ที่เดินนำหน้าไปก่อน จะตะโกนเรียกก็อายคนอื่นฉันจึงถอดรองเท้าด้วยมือข้างหนึ่งแล้วก้มลงกระชากรองตัวเองออกออกจากซอกนั้น เท่านั้นยังไม่พอ เพราะไฟเขียวได้เปลี่ยนเป็นไฟแดง จากที่ข้ามได้ก็ข้ามไม่ได้ ฉันติดอยู่ฝั่งนี้คนเดียว แถมคนที่พาฉันมาด้วยก็เดินลิ่วๆไปไม่ได้สนใจเลยว่าฉันได้เดินตามไปไหม

    ฉันชะเง้อคอมองคนที่ฉันมาด้วยเลยไม่ทันเห็นว่ารถที่เร่งมาอย่างเร็วนั้นเหยียบน้ำที่ขังอยู่จนกระเด็นใส่ฉันเปียกไปทั้งตัว คนข้างๆก็มองฉันด้วยความสงสาร ฉันอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ ดวงตานั้นคลอไปด้วยหยาดน้ำ ทันทีที่ไฟเขียวก็ได้ยินเสียงกระหือกระหอบวิ่งมาแล้วจับมือฉันเดินข้ามถนน ฉันสะบัดมือนั้นทิ้งก่อนจะเดินย้อนไปอีกด้าน กลทีป์จึงได้จับตัวฉันเอาไว้ ตอนนี้ร่มของเขาไม่ได้ถือเอาไว้ ฉันไม่รู้ว่าเขาไปทิ้งเอาไว้ที่ไหน รู้แต่ว่าตอนนี้เขาเปียกไม่แพ้ฉันเลย

    ฉันเผชิญหน้ากับเขาด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงมา เขาย่อตัวลงมาแล้วใช้สองมือเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

    “ผมขอโทษ” ชายหนุ่มไม่ยิ้มเล่นหัวอีกต่อไปแล้ว “ผมน่าจะสังเกตได้เร็วกว่านี้ว่าคุณไม่ได้เดินตามมา ผมขอโทษที่รู้ตัวช้า” ก่อนจะยกมือฉันขึ้นมาตบแรงๆที่หน้าของตัวเอง “ถ้าผมทำแบบนี้อีก คุณด่าผมเลย จะทำร้ายผมแบบนี้ก็ได้”

    ฉันรั้งมือตัวเองเอาไว้ หมดแรงที่จะต่อสู้หรือก้นด่าคนที่สำนึกผิด ฉันจึงได้พยายามกลั้นสะอื้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พอเถอะ ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้าน”  

    “ก็ได้” ชายหนุ่มว่าง่ายพร้อมทั้งหยิบร่มจากมือฉันขึ้นมาถือ แล้วโอบตัวฉันเอาไว้ โดยไม่รังเกียจน้ำสกปรกที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าของฉัน ก่อนจะบอกลาที่หน้าบ้านเหมือนอย่างทุกครั้ง

    ชีวิตของฉันมันเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ฉันกับเขาเจอกันทุกวันหลังเลิกเรียน เขาใจดีกับฉันเสมอ แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนบางครั้งตัวเองก็ถูกทิ้งเอาไว้โดดเดี่ยวทั้งๆที่เขายังยืนอยู่ข้างๆ ทั้งๆที่มือของฉันกับเขาประสานกัน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาชวนฉันไปเที่ยวสวนน้ำ ฉันพยายามปฏิเสธ แต่เขายังยืนยัน แถมยังบอกให้ฉันชวนเพื่อนไปด้วย บางทีคราวนี้จะได้เปิดตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนครบสามเดือนตามสัญญา และเป็นอีกครั้งที่ฉันยอมโอนอ่อนตาม เพราะใช่ ฉันเริ่มรักเขาเข้าแล้ว

    ฉัน จิรา และวรรณกานต์มาถึงสถานที่นัดหน้าสวนน้ำก่อนเวลาสิบนาที หากก็ไม่เร็วไปกว่ากลทีป์และเจตน์ที่มายืนรอพวกฉันอยู่แล้ว

    วรรณกานต์ดูจะมีความสุขมากที่สุด เพราะทันทีที่เจอหน้ากลทีป์ก็วิ่งเข้าไปกรีดกราดควงแขนด้วยความดีใจ จนจิราหันมามองหน้าฉันแล้วกระซิบเบาๆให้พอได้ยินกันสองคนเมื่อไม่มีได้ทันสังเกต

    “ฉันว่าแบบนี้ไม่ดีแน่เลย” ฉันส่ายหน้า ดวงตาจับจ้องที่เพื่อนสาวอีกคน “ฉันว่าเสร็จแน่ๆงานนี้ แกเตรียมใจไว้เลย รับรองเขาเลือกคนที่เข้าถึงตัวมากกว่าแกแน่ๆ”

    คำทำนายล่วงหน้าของจิราทำให้คนฟังหัวใจล่วงไปถึงตาตุ่ม ไม่ใช่ฉันไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ แต่ฉันพยายามปฏิเสธความเป็นจริงข้อนี้ต่างหาก “คิดมากน่า ฉันว่าเราดูไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบกำหนดดีกว่า” ไม่รู้ว่าฉันปลอบใจใครระหว่างเพื่อนกับตัวเอง “ถ้าเขาปลงใจกัน ฉันคงถอยแหละ” ฉันยิ้มให้เพื่อนสาวข้างตัว ก่อนจะเดินตามไปเมื่อใจกลางความสุขนั้นเดินนำหน้าพร้อมกับคนที่เขาบอกว่ารักฉันและความจริงที่ฉันก็เริ่มรักเขาแล้วเช่นกัน

     

    หลังจากเข้าห้องเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าฉันใส่ชุดธรรมดาเรียบง่าย ไม่ใช่กางเกงบิกินนี่เว้าขาสูงเหมือนคนหุ่นดีอย่างวรรณกานต์ แต่ฉันใส่เป็นชุดว่ายน้ำสปอร์ต กางเกงยาวครึ่งน่องแทน

    กลทีป์เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับชวนไปที่เครื่องเล่นแพ พวกเราพยายามวิ่งเล่นบนนั้นโดยที่ไม่มีใครยอมร่วงลงไปเปียกน้ำ ช่วงแรกๆก็สนุกดีเพราะเขาดูเหมือนจะสนใจฉันมากกว่าปกติจนกระทั่งฉันหล่นลงไปในน้ำ เขาเลยหันมามองพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ แล้วเอื้อมแขนมาเพื่อจะดึงฉันขึ้น ในขณะที่ปลายนิ้วของฉันเกือบจะสัมผัสกับมือของเขา ลูกบอลลูกหนึ่งก็ลอยมากระทบไหล่ของเขาทำให้เขาชักมือกลับแล้วหันไปมองคนทำ วรรณกานต์หัวเราะคิกคักแล้วรีบวิ่งหนีเมื่อเห็นว่ากลทีป์หันมอง และนั่นฉันรู้สึกเหมือนเดจาร์วูเมื่อเขาทิ้งฉันเอาไว้อีกครั้ง แล้ววิ่งไล่ตามวรรณกานต์ออกไปด้วยเสียงหัวเราะ ฉันพยายามขึ้นมาบนเบาะแพ ทันทีที่ฉันปีนขึ้นมาได้ เขาก็หายไปพร้อมกับเพื่อนของฉันแล้ว

    ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนลำไส้ของฉันบิด มันปวดท้องจนต้องลากตัวเองขึ้นมาบนฝั่ง ฉันไม่รู้ว่าพักหลังฉันเป็นอะไร แต่ช่วงนี้ฉันปวดท้องบ่อยมากจนคิดว่าตัวเองน่าจะเครียดกับเรื่องของกลทีป์

    จิราเดินตามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันนั่งหน้าซีด “แกเป็นอะไรหรือเปล่า” เพื่อนสาวถามด้วยความเป็นห่วง ยิ่งฉันนั่งกุมท้องแน่นไม่ยอมขยับไปไหนก็ยิ่งเป็นห่วง

    ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแล้วยิ้มเจื่อนให้แวบ “ฉันปวดท้อง ขอนั่งพักหน่อยนะ” ฉันพยายามกัดฟันอกครั้งเมื่อมันมาอีกระรอก “แกไปเล่นน้ำเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ปวดทองนิดหน่อย”

    “ไม่เอาอ่ะ ถ้าไม่มีแกก็ไม่สนุก ฉันว่าฉันนั่งเป็นเพื่อนแกดีกว่า” ฉันซุกตัวลงนั่งใกล้ๆ “แต่แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร ให้ฉันไปซื้อยาแก้ปวดท้องมาดีไหม จะเอาน้ำหรือเปล่าฉันไปซื้อให้”

    “ไม่เป็นไร” ฉันยิ้มแห้งให้อีกครั้ง “เดี๋ยวอีกสักพักก็หาย” ก่อนจะก้มหน้าซุกลงระหว่างขาตัวเอง หวังเอาไว้ว่ากลทีป์จะกลับมาแล้วถามฉันด้วยความห่วงใยว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง อยากกลับบ้านไหม ฉันบอกตรงๆว่าฉันกลัวกลัวว่าเขาจะไม่กลับมาเป็นคนเก่าที่ฉันรู้จัก กลัวว่าเขาจะไม่รอให้ถึงสามเดือนตามสัญญาทั้งๆที่เหลืออีกไม่กี่วัน

    เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันนั่งนิ่งๆอยู่กับจิรา โดยมีเจตน์เข้ามาถามอยู่เป็นระยะ พวกเรานั่งรอสองคนนั้นเกือบจะชั่วโมงกลทีป์กับวรรณกานต์ถึงได้เดินกลับมา เขาเข้ามาถามฉันด้วยความห่วงใยเหมือนที่ฉันหวัง แต่ฉันรู้ว่ามันมีบางอย่างเปลี่ยนไป เขาตั้งใจทำเพื่อต้องการปกป้องความผิดที่ตัวเองทำเอาไว้ ตอนนี้ฉันหมดแรงยิ่งเมื่อเห็นเพื่อนที่หายไปของฉันมายืนอยู่เกาะคนที่ฉันรักอยู่ด้านหลังอย่างไม่อายใคร

    ฉันฝืนยิ้มแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน “ขอโทษนะฉันรู้สึกไม่สบายขอตัวกลับก่อน” จากนั้นฉันจึงทิ้งทุกคนเอาไว้เบื้องหลัง มีเพียงแค่จิราเท่านั้นที่วิ่งตามมาเพื่อพาฉันกลับบ้าน

     

    ฉันตัดสินใจทิ้งเรื่องเมื่อวานเอาไว้ข้างกายแล้วถามตัวเองว่าฉันจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องนี้ ฉันจะยอมเป็นคนตาบอดทำเป็นไม่สนใจเรื่องผิดปกติของกลทีป์และวรรณกานต์ แล้วตกลงคบกับอีกฝ่ายต่อไปหรือว่าฉันจะยอมปล่อยทุกอย่างไปตามทางดี ฉันไปตามทางของฉัน เขากับวรรณกานต์ก็ไปต่อสานสัมพันธ์กัน แต่ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจอะไรออกไปแน่นอน ฉันยังไม่รู้เรื่องราวระหว่างเขาและเพื่อนของฉันชัดๆเลย

    วันรุ่งขึ้นฉันตัดสินใจไปตามหากลทีป์ที่คณะ ฉันเห็นเขากับเจตน์นั่งคุยกันหน้าเครียดจึงได้ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหา

    “เมื่อวานแกหายไปไหนกับกานต์เป็นชั่วโมงวะ” เจตน์ถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆเพื่อน “ฉันเห็นอารดานั่งนิ่ง เครียดปวดท้องรอแกอยู่ตั้งนาน”

    “ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ได้อย่างไง เรื่องเมื่อวานมันเร็วมาก” ชายหนุ่มนั่งกุมศีรษะ “ฉันวิ่งตามกานต์ไปจนเกือบถึงเครื่องเล่นอีกฝั่ง ตอนนั้นคนไม่เยอะ ฉันถูกดึงเข้าไปในห้องเก็บของ จากนั้นเธอก็จู่โจมฉัน ฉันยอมรับนะว่าฉันเคลิ้มหลงไปกับเสน่ห์ของกานต์ ทั้งๆที่ฉันรู้สึกผิดกับอารดา แต่ฉันก็

    “มีอะไรกับกานต์ไปแล้ว” คนฟังพยักหน้า ส่วนฉันที่แอบฟังอยู่แทบล้มทั้งยืน จากที่เคยมีความหวังเป็นหมดหวัง ฉันหมดแรงจะเดินต่อ นี่คงเป็นชะตาที่ทำให้ฉันต้องเลิกคิดถึงความรักแล้วหันมาเผชิญกับความจริง ฉันสูดหายใจเข้าในขณะที่กำลังจะตัดสินใจเดินเข้าไปนั้นเจตน์ก็พูดบางอย่างขึ้นที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งเพราะมันเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างกาย

    “ในเมื่อเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว แกก็เลิกพนันกับพวกไอ้อาร์ทได้แล้วว่าแกจะเป็นผู้ชายคนแรกของอารดาให้ได้ภายในสามเดือน” เจตน์ตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ถ้าแกไม่จริงจังก็เลิกซะ เมื่อวานฉันเห็นเข้าไปข้างนัยน์ตาของอารดาเลยว่าเธอรู้ว่าแกกับกานต์มีบางอย่างที่ปิดบังเธอเอาไว้ ตอนนี้ฉันว่าแกทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งที่ทำให้อารดาหลงรัก แต่ฉันว่าแกเลิกเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นดีกว่า ฉันว่ามันไม่สนุกเลยนะกับการทำให้คนอื่นรักแล้วก็ทิ้ง ในเมื่อแกก็มีอะไรไปกับกานต์แล้ว

    หลังจากนั้นคำพูดของคนทั้งคู่ไม่ได้เข้าหัวของฉันอีกเลย ฉันกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น นี่ฉันดูโง่ขนาดนั้นเลยใช่ไหม ฉันดูเป็นผู้หญิงที่หลอกง่ายแล้วสามารถนอนกับใครก็ได้อย่างที่พวกเขาคิดจริงๆเหรอ ฉันอยากจะหัวเราะใส่หน้าพวกเขาว่าฉันไม่มีวันยอมมีอะไรกับใครเด็ดขาด แค่รักครั้งนี้มันก็ทำฉันเจ็บพอแล้ว นี่แค่ทางใจ แล้วถ้าฉันเสียร่ายกายฉันไป ฉันคงรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นยิ่งกว่านี้

     

    ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากที่เดินกลับออกมาฉันก็โทรศัพท์ไปหาจิรา แล้วร้องไห้จนเพื่อนคนนี้ของฉันต้องรีบทิ้งห้องเรียนเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อน หลังจากที่ฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง จิราก็เตรียมไปเอาเรื่องกลทีป์เต็มที่ แต่ฉันก็รั้งเอาไว้ เพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันกับเขาคงหมดเรื่องที่จะคุยกันต่อไป และที่สำคัญพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้าย วันที่ฉันจะต้องให้คำตอบเขา

    วันนี้ฉันยืนรอเขา เห็นเขาวิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยรอยยิ้มก็ยิ่งช้ำใจ ฉันอยากย้อนเวลากลับไปในวันที่ฉันไม่รู้จักเขา อยากทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ฉันเจ็บเหมือนเช่นวันนี้ พักนี้ฉันกินอะไรไม่ค่อยลง และผอมลงอย่างไม่เคยคิดว่าฉันจะลดน้ำหนักลงมาได้ถึงขนาดนี้มาก่อน ฉันฉีกยิ้มให้เขาเมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้าแล้วจับมือฉันเอาไว้หลวมๆ

    “เอาล่ะ ผมว่าวันนี้ ผมพร้อมที่สุดที่จะบอกและขอคำตอบจากคุณ” ชายหนุ่มหน้าเข้มตัวสูงเกือบร้อยแปดสิบมองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม “ผมรักคุณ รักคุณจริงๆอย่างไม่เคยรักใคร คุณเปลี่ยนโลกทั้งใบของผม คุณทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ทุกลมหายใจเพื่อคุณ ถึงคุณจะไม่สวย ใครจะว่าคุณอ้วนไม่เหมาะกับผม แต่ผมรักในทุกอย่างที่คุณเป็น วันนี้ผมเลยมาสารภาพอีกครั้ง คบกับผมนะอารดา ผมสัญญาว่าจะรักคุณให้มากขึ้นทุกๆวัน ผมจะดูแลและปกป้องคุณ ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจ ผมจะค่อยๆปรับตัว เพื่อเป็นแฟนที่ดีของคุณ”

                    ฉันรู้สึกเจ็บแปลบ มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น หากยังฝืนยิ้มทั้งๆที่รู้ว่าคำที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายนั้นเป็นคำหลอกลวงทั้งสิ้น ฉันเงยหน้าขึ้นช้าๆมองเขาพร้อมกับกดริมฝีปากสีชมพูระเรื่อแนบข้างแก้มอีกฝ่ายนิ่งแล้วกระซิบข้างหู “คุณเกือบทำสำเร็จแล้วนะรู้ตัวไหม” ก่อนจะค่อยๆถอยออกมาในระยะที่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงตัวฉันได้ “ถ้าคุณพูดออกมาจากใจจริงสักนิด ฉันคงจะดีใจมาก” คราวนี้ฉันหุบรอยยิ้มที่พยายามฝืนเอาไว้ “ถ้าคุณยังไม่พร้อม หรือว่ามีใครที่ดีกว่า คุณเลือกเธอไปเถอะ ฉันคงไม่มีค่าพออะไรให้คนอย่างคุณมาสนใจ มารัก มาทำดีด้วย” ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่น้ำใสๆมันไหลหยดลงมาตามข้างแก้มจนแทบมองอีกฝ่ายไม่เห็น “เพราะฉะนั้นพอเถอะ เลิกทำร้ายทั้งฉันแล้วก็ผู้หญิงคนนั้น เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” ฉันหันหลัง ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะถูกคว้าเอาไว้จากทางด้านหลัง ฉันรู้เพียงแค่ว่าทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ และฉันคิดถูกที่ให้จิราตามมาด้วย ทันทีที่ให้สัญญาณเพื่อนสาวก็วิ่งปราดเข้ามากระชากแขนของกลทีป์ออกด้วยความขุ่นเคือง

    “ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้” เธอผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่างพร้อมกับหันมาประคองคนที่กำลังร้องไห้ราวจะขาดใจเอาไว้ราวกับจงอางหวงไข่ “ไอ้สารเลว คนอย่างแกไม่มีสิทธิมาแตะต้องแม้แต่ปลายก้อยของเพื่อนฉัน” แล้วใช้เท้ายันอีกฝ่ายจนแทบหงายหลัง จากนั้นจึงสบโอกาสโอบตัวเพื่อนเธอขึ้นรถแล้วออกไปโดยไม่สนใจแม้แต่เสียงเรียกของคนที่วิ่งตามมาทางด้านกลัง

     

    ไม่รู้ว่าช่วยนี้เครียดมากหรือเปล่าร่างกายฉันถึงได้ผ่ายผอมลง จะว่าดีมันก็ดี แต่ฉันชอบตอนฉันมีความสุขมากกว่า ส่วนเรื่องปวดท้องมันก็ยังคงเป็นๆหายๆ ซึ่งฉันคาดว่าตอนนี้ฉันน่าจะเป็นโรคเครียดลงกระเพาะไปแล้ว

    วรรณกานต์ก็ยังคงเป็นเพื่อนฉัน แต่บางครั้งเธอจะมาเล่าเรื่องกลทีป์ในวันนั้นวันที่ฉันเจ็บปวด ปกติถ้าเป็นเรื่องของผู้ชายคนอื่น ฉันจะรู้สึกสงสารทั้งผู้ชายคนนั้นและเพื่อนเธอเอง ไม่ใช่เพราะสมเพชแต่ฉันคิดว่าการมีอะไรกับคนที่รักในเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ใครจะว่าฉันหัวโบราณฉันไม่แคร์เพราะฉันถูกปลูกฝังมาแบบนั้น แต่พอมาเป็นเรื่องคนที่ฉันรัก ฉันกลับรู้สึกขยะแยง พะอืดพะอมจนต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ฉันอ้วกจนหมดไส้หมดพุง จากนั้นจึงค่อยๆลากตัวเองไปล้างหน้า วรรณกานต์เดินเข้ามาแตะไหล่แล้วถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันกลับสะบัดมือนั้นอย่างไร้เยื่อใยทำให้อีกฝ่ายหน้าเสีย ฉันจึงได้หันไปยิ้มให้บางๆ “ขอโทษ ฉันแค่รู้สึกไม่ดี แกออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวฉันตามออกไป”

    ส่วนพ่อที่เห็นอาการเปลี่ยนแปลงของฉันในช่วงเวลาไม่กี่วันก็บังคับให้ฉันไปหาหมอ ผลที่ออกมาทำให้ฉันช็อคแทบจะไปต่อเป็นเลยคือฉันเป็นมะเร็งตับขั้นที่สี่ ตอนนี้ฉันสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือดี

    ฉันร้องไห้ทุกวัน ร้องจนแทบไม่มีน้ำตาให้ไหล ฉันขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปเรียน ไม่ออกไปสอบ ทั้งจิราและวรรณกานต์มาหาฉันที่บ้าน แต่ฉันไม่ออกมาพบ ตอนนี้ไม่ฉันไม่อยากเจอใครไม่อยากพูดคุยกับใคร อยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ บางครั้งฉันแอบเห็นพ่อของฉันนั่งร้องไห้ ฉันอยากเข้าไปกอดอยากบอกว่าฉันไม่เป็นไร เราจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน นั่นทำให้ฉันตัดสินใจเข้ารับการรักษา ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลแค่ไหน

    ฉันตัดสินใจหยุดเรียนทันที เพราะสภาพของฉันตอนนี้คงไม่เรียนไม่ไหว ฉันเคยคิดในแง่ดีกว่าถ้าฉันหายแล้วฉันจะเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาให้พ่อ แล้วฉันจะได้งานดีๆ คู่ชีวิตดีๆ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยอย่างที่เคยหวังเอาไว้

    ปกติพ่อจะเป็นคนพาฉันเข้ารับการรักษา แต่ถ้าวันไหนพ่อไม่ว่างก็จะได้จิราและวรรณกานต์เข้ามาช่วยเหลือ พวกเรากลับมาคุยกันเหมือนก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้นจนกระทั่งผ่านไปเดือนกว่าๆ ไม่รู้ว่าจิราไปคุยอะไรกับวรรณกานต์เพื่อนของฉันคนนี้ถึงได้เข้ามาร้องห่มร้องไห้ขอให้ฉันยกโทษให้ เธอบอกว่าอยากย้อนเวลากลับไป เรื่องแบบนี้จะได้ไม่เกิดกับเพื่อนที่รัก ฉันยิ้มให้แล้วกอดเธอตอบ “ฉันไม่เคยเกลียดแก ฉันรักแกนะโว้ย ไม่ต้องคิดมาก” เท่านั้นแหละเราสองคนก็กอดกันกลม ฉันแอบเห็นจิราที่ยืนอยู่ข้างปาดน้ำตาทิ้งอยู่ปลายสายตา

    ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้ที่ฉันแปลกใจ เพราะวันหนึ่งที่ฉันเข้ารับการฉายแสง คนที่ต้องมาอยู่ด้วยข้างๆคือวรรณกานต์ แต่ตอนนี้กลับเป็นเขา คนที่เกือบทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต้องขาดสะบั้น แต่ตอนนี้ฉันหมดแรงจะโกรธ จึงทำได้แค่ยิ้มบางๆ แล้วทักทาย “สวัสดี”

    “คุณดูผอมไป ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยทำให้ฉันอมยิ้ม

    “กินไม่ค่อยลงเท่าไรหรอก แต่ก็ดีนะ ฉันว่าผอมลงบ้างก็ดี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเหมือนหมู” ฉันพูดพลางหัวเราะแห้งใส่ “คุณมาได้ยังไง แล้วกานต์ล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”

    “เปล่า” ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหมวกที่ฉันสวมเอาไว้ เพราะว่าผลจากการฉายรังสีทำให้ผมฉันร่วง ฉันจึงตัดสินใจโกนมันทิ้งทั้งหมด “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณไม่สบาย”

    “ฉันโอเค คุณไม่ต้องกังวล ตอนนี้ก็กำลังรักษาอยู่” ฉันยิ้มปลอบใจตัวเอง ก่อนจะคุยกับเขาแค่ไม่กี่คำก็โดนเรียกตัวเข้าไปในห้อง ฉันอยู่ในห้องพักใหญ่กว่าจะเสร็จตามขั้นตอน ฉันคิดว่าเขากลับไปแล้ว แต่เขายังนั่งรอ แล้วรีบมาประคองเมื่อเห็นฉันเปิดประตูออกมา ทันทีที่เขาแตะโดนตัวฉันรู้สึกพะอืดพะอมสะบัดตัวเขาทิ้งแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ เขาก็รีบวิ่งตามเข้ามาโดนไม่สนใจว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องน้ำหญิง ไม่สนใจว่าจะโดนใครมองเป็นไอ้โรคจิต เขามองตรงมาที่ฉัน และตกใจพอควรเมื่อเห็นว่าอาเจียนของฉันมีมูกเลือดปนออกมาด้วย ฉันเป็นแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ยอมบอกใคร ไม่อยากให้ใครเป็นกังวล แต่เขากลับมาเห็นเข้า ฉันเลยหันไปจ้องหน้าเขาอย่างจริงจังที่สุดในชีวิต

    “ฉันขอร้อง อย่าบอกใครเรื่องนี้ ฉันไม่อยากให้ใครเป็นห่วง” เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้าอย่างจำใจฉันจึงได้ขยับตัวเองไปยังอ่างล้างหน้า เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้นด้วยการกวักน้ำเย็นๆลูบหน้าล้างปาก

    ฉันกับกลทีป์พูดคุยด้วยเรื่องสรรเพเหระจนกระทั่งถึงหน้าบานเขาถึงได้ยอมกลับไป แต่ก่อนกลับเขายังสำทับให้ฉันดูแลตัวเอง แล้วเขาจะมาเยี่ยมบ่อยๆ พอฉันบอกว่าฉันไม่ได้ป่วย เขาก็ก้มลงแตะริมฝีปากกับแก้มของฉันอย่างที่ฉันเคยทำเมื่อนานมาแล้ว มันรู้สึกอุ่นวาบไปถึงหัวใจ เขาเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคำว่าคิดถึงคงทำให้เขาเข้าใกล้ฉันได้มากกว่ามาเยี่ยมคนป่วยใช่ไหม เขาไม่รอคำตอบ และฉันก็ไม่คิดจะตอบ มือเล็กๆขอฉันแตะแวบเดียวในบริเวณที่ถูกสัมผัสก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน

    เขามาหาฉันบ่อยจนเกือบจะเป็นทุกวัน ไม่รู้ว่าเข้าได้เข้าเรียนบ้างหรือเปล่า แต่ฉันก็รู้สึกดีใจเล็กๆที่เขายังให้ความสำคัญ สามเดือนที่ผ่านมานี้เองมั้งที่ฉันได้คุยกับเขามากขึ้น เหมือนกำแพงบางๆมันหายไป ได้รู้จักทั้งตัวเขาและตัวเองมากขึ้น บางครั้งเหมือนเขาอยากจะพูดอะไร แต่เขาเอาแต่อ้ำอึ้งจนฉันรู้สึกอึดอัด แต่เขาก็พยายามชวนคุยนั่นคุยนี่จนมันหายไปเองอัตโนมัติ

    พอถึงเดือนที่ห้าที่ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายฉันก็เข้าโรงพยาบาลเพราะปวดท้องมากจนสลบไป ฉันจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นคนพาฉันมา แต่หลังจากที่คุยกับเพื่อนๆแล้วก็มารู้ว่าพ่อเป็นคนอุ้มฉันมาโดยที่ตัวเองแทบจะลืมใส่รองเท้าเลยด้วยซ้ำ และนั่นแหละเป็นกำลังให้ฉันรีบรักษาตัว และเริ่มกลัวตายเป็นครั้งแรก เพราะถ้าฉันไม่อยู่แล้วใครจะเป็นคนดูแลพ่อ แม่ฉันก็เสียไปแล้วตั้งแต่เด็ก ฉันคิดภาพในหัวไม่ออกเลยว่าพ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉันยังเคยเปรยๆให้จิรากับวรรณกานต์ผลัดกันมาดูแลพ่อฉันบ้างในวันที่ฉันไม่อยู่ ก็กลายเป็นว่าฉันทำให้ทั้งสองคนเป่าปี่ไปอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่ดูเหมือนกลทีป์จะรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีกว่าทุกคน เขายิ้มรับแล้วจับมือฉันไว้แน่นทั้งๆที่มือฉันเหี่ยวแห้ง ไม่นุ่มนวลแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่รู้สึกเสียใจที่เคยมอบหัวใจให้เขา และแน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ทำให้ฉันตกหลุมรักเขาอีกครั้ง

    ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสายระโยงรยางค์ มันรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ขยับตัว ฉันไม่รู้ว่าพ่อคุยอะไรกับหมอ แต่เขากลับมายิ้มแล้วลูบศีรษะที่ไม่มีผมของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูบตรงปลายขมับจนฉันรู้สึกเจ็บ แต่ฉันกลับรู้สึกดีมาก ฉันสัมผัสถึงความรักที่โอบรอบตัวฉันอย่างอ่อนโยน ไม่ใช่แค่จากพ่อ แต่จากคนข้างๆกายฉันด้วย

    ตอนนี้มือฉันยังพอขยับได้อยู่บ้างฉันจึงได้ขอให้วรรณกานต์หาสมุดเล่มหนากับปากกาให้ฉัน ฉันพยายามเขียนความรู้สึกทั้งหมดผ่านตัวอักษรจากวันเก่าๆจนถึงปัจจุบัน และนั่นแหละทำให้ฉันรู้ว่าเวลาความสุขมักจะไม่ค่อยยืนยาว ถ้าวันไหนที่เจอมัน ฉันควรจะซึมซับมันให้มากๆจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง

    เอาจริงๆฉันไม่รู้ว่าฉันนอนอยู่โรงพยาบาลมานานแค่ไหน แต่ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าฉันจะตายฉันขอไปนอนสงบลงที่บ้านของตัวเอง ที่ห้องของตัวเองดีกว่า ฉันพยายามตื้อพ่อและหมออยู่นานจนฉันได้กลับออกมา

    แสงแดดที่ตอนนี้โอบรอบตัวฉันมันทำให้ฉันรู้แล้วว่าทำไมพืชถึงได้เจริญเติบโตเพียงแค่ได้สัมผัสมัน มันให้ความรู้สึกอบอุ่น ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่ามันจะทำให้ผิวเสีย เป็นฝ้า แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกแบบนั้น ฉันรู้สึกว่าคงใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะคืนทุกอย่างให้ธรรมชาติ ทุกวันนี้ฉันพอใจในชีวิตของตัวเอง มีทุกข์ใจ มีเสียใจ แต่ทุกครั้งฉันจะได้กำลังใจและลุกขึ้นสู้ทุกครั้งจากคนที่ฉันรักและรักฉันจากใจจริงเสมอ บางคนอาจท้อว่าทำไมตัวเองต้องเจอเหตุการณ์ร้ายๆด้วย แต่ถ้าเขามองอีกมุม เขาจะเห็นคนที่ห่วงใยเขา และจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ ทันทีที่เขาทำสำเร็จ เขาจะหันกลับมามองด้วยรอยยิ้มแล้วเสียงหัวเราะเสมอ

    ฉันไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต และฉันว่าฉันคงไม่มีแรงจะยกปากกาขึ้นมาจดบันทึกพวกนี้อีกแล้ว ฉันอาจจะอยู่ได้อีกหนึ่งปี หนึ่งอาทิตย์ หรือหนึ่งวัน แต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะมีความสุขกับคนที่ฉันรักได้ทุกวันเช่นกัน

    ขอให้ฉันได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบสุข ขอให้ฉันได้กลับมาเจอทุกคนอีก ถึงแม้ว่านานแค่ไหนฉันจะรอ รอจนถึงวันนั้น ลาก่อนโลกที่สวยงาม หวังว่าเราจะได้เจอกันใหม่นะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×